ออกแบบเว็บอย่างไรให้ได้ใจคนเข้าชม

อะแฮ่ม กระแอมเบาๆพอได้ยินกันทั่วทั้งห้องนะครับ กลับมาแล้วกับบทความตอนใหม่ของบักสน วันนี้มาพูดเรื่อง การออกแบบเว็บไซต์ครับ แรงจูงใจที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันมีที่มาที่ไปครับ นั่นก็คือ มีคนส่งอีเมลล์และข้อความส่วนตัวในเฟสบุคมาถามผมเกี่ยวกับเว็บดีไซน์ค่อนข้างเยอะมาก ทำให้ผมสัมผัสได้ว่า มีหลายคนที่กำลังสนใจในเรื่องนี้ ผมก็เลยเลือกจะเขียนบทความนี้ขึ้นมา

การออกแบบเว็บไซต์ให้ได้ใจคนชมนั้นมันมีหลายปัจจัยนะครับ  ทำเว็บไซต์เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ใช้ความรู้หลายแขนง บางคนอาจจะคิดว่า แหม พูดซะเวอร์ เปิดดรีมมาแป็บเดียว ลากๆพิมพ์ๆ เซฟ ก็เป็นเว็บได้แล้ว  อ่าฮะ ใช่ครับ ผมไม่ขอเถียง เพรานั่นมันคือ “การทำเว็บ” แต่ไม่ได้หมายถึง “เว็บดีๆ” ที่ผมพูดถึงครับ

 

ปัญหาของคนส่วนใหญ่ที่มีเว็บไซต์คือ “ทำแล้วไม่ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า

 

[skill]ก่อนอื่น มานิยามคำว่า “ผลตอบแทนที่คุ้มค่า” กันก่อนดีกว่าครับ   ผลตอบแทนที่คุ้มค่านั้นก็แยกได้หลายธุรกิจครับ แต่ถ้าพูดแบบรวมๆก็คือ เราต้องการให้คนทำอะไรหลังจากเข้าเว็บเรา แล้วเค้าทำแบบที่เราต้องการหรือเปล่า นั่นแหล่ะ คือผลตอบแทนที่ต้องการครับ ถ้าคนเข้ามาเว็บเราเยอะแล้วทำตามที่เราต้องการเยอะด้วย มันก็คือผลตอบแทนที่คุ้มค่า แต่ถ้าเข้ามาเยอะแต่ดั๊นไม่ตอบสนองอะไรเลย อันนั้นก็คือการล้มเหลวครับ[/skill]

 

ยกตัวอย่างเช่น ผมมีเว็บไซต์ขายของ แน่นอนครับว่าสิ่งที่ผมอยากเหลือเกินที่จะให้คนเข้าเว็บไซต์ของผมทำก็คือ “สั่งซื้อสินค้า” หรือบริการของผม การวัดผลจากเว็บไซต์ก็อาจจะวัดได้จากการคลิก BUY NOW หรือ สำหรับเว็บไซต์ที่ต้องการให้คนดาวน์โหลดไฟล์ วิธีการวัดผลตอบแทนก็ดูว่ามีคนโหลดไฟล์นั้นไปเท่าไหร่  ในแง่ของธุรกิจผ่านเว็บไซต์ เราเรียกผลตอบแทนแบบนี้ว่า Conversion Rate ครับ

 

Conversion Rate ก็คืออัตราคน “ทำในสิ่งที่เราต้องการ” เทียบกับ “ยอดคนเข้าดู” ยกตัวอย่างเช่น บทความนี้ ผมคาดหวังว่าเมื่อคนอ่านจบจะพากันกด Share ให้เพื่อนๆอ่าน สมมติว่ามีคนมาอ่านบทความผม 100 คน แล้วมีคนกดแชร์ 15 คน นั่นก็หมายความว่า Conversion Rate คือ 15% นั่นเอง เป็นวิธีการคิดแบบง่ายๆ ไม่ต้องใช้สมองขั้นสูงครับ

 

เอาละ รู้จักผลตอบแทนที่คุ้มค่าแล้ว มาดูกันว่าแล้วเราจะทำอย่างไรดีน๊า ให้เว็บของเราทำมาแล้ว โปีะเช๊ะ คนตอบรับเยอะ Conversion Rate สูง  ผมมีคำแนะนำมาฝากครับ

[thetext]อะไรกันแน่ในการออกแบบเว็บไซต์ที่มีผลทำให้ได้ Hight Coversion[/thetext]

ฮ่ันแน่! อยากรู้แล้วหล่ะสิครับ มามะ ตามผมมาครับว่ามันมีอีหยังแน

[thetext]#1 Sidebar เอาให้ง่ายเข้าไว้[/thetext]

ก่อนจะพูดถึง  sidebar ผมขอพูดถึงโดยรวมก่อนดีกว่า สำหรับเว็บไซต์นะครับ พยายามออกแบบให้มันใช้งานง่าย อย่าเยอะเกินความจำเป็น บางเว็บไซต์ยัดโน่นยัดนี่จนหลงประเด็นว่าเว็บตัวเองมันคือเว็บอะไรกันแน่ ทำให้เว็บขาดความเป็นเอกลักษณ์ครับ สำหรับเว็บไซต์ในทุกวันนี้เวลาเราเข้าไปอ่านเนื้อหา จะสังเกตนะครับว่าจะมีสัดส่วนของ Sidebar อยางชัดเจน มีการทดลองดูแล้วครับว่า เว็บที่มีอะไรยัดเต็มไปหมดใน Sidebar คนมักจะไม่ค่อยไปยุ่งสักเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับเว็บที่มี Sidebar ที่เรียบง่าย เน้นปุ่ม Call to Action กลับได้ผลตอบรับที่ดีกว่าเยอะมากๆ

 

การที่มี Sidebar ยุ่งเหยิง กำลังทำลายเว็บไซต์ของคุณ…

 

แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง มันก็ไม่ได้หมายความว่า Sidebar ของคุณจะมีแต่การเน้นปุ่ม Call to Action เท่านั้นนะครับ จากการนั่งอ่านและสังเกตของผม พบว่า Sidebar ที่ดีควรมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้ครับ

[skill2]1. opt-in-form ให้อยู่บนสุดของ Sidebar เลยครับ

2. ลิงค์ไปยังหน้าที่คุณต้องการให้อ่านมากที่สุด

3. ลิงค์เกี่ยวกับบทความที่ป๊อบปูล่า[/skill2]

 

ส่วนอะไรที่นอกเหนือจากนี้มันมักจะเป็นตัวทำให้คนไขว้เขวเสียเปล่าๆครับ (แต่ช้าก่อน! ถ้าหากว่าเว็บของคุณมีสัดส่วนในการแสดงโฆษณาบนเว็บด้วย คุณก็ควรใส่ลงไปด้วยนะครับ คือพิจารณาดูว่าอะไรที่มันจำเป็นสำหรับเว็บเราจริงๆ)

 

สงสัยไหมครับว่า ทำไมเว็บของเราควรมีเจ้าพวกนี้ใน sidebar

 

นั่นก็เพราะว่ามันช่วยแปลงคนเข้าชมธรรมดามากลายเป็นผู้สนใจและผู้ใช้บริการได้ไงละครับ ในขณะที่อีกประโยชน์หนึ่งก็คือมันช่วยให้ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์รายใหม่ของเราสามารถค้นหาบทความที่เขาสนใจในเว็บของเราได้ด้วย

 

แล้วทำไมไอ้เจ้าสามตัวด้านบนมันถึงได้สำคัญนักหนา?  มาดูเหตุผลกันครับ

 

เจ้าตัวแรก opt-in-form ตัวนี้ก็ได้แก่พวกแบบฟอร์มต่างๆครับ เช่นฟอร์มสำหรับสมัครสมาชิกรับข่าวสาร (Newsletters Subscription) การที่เราเอาไว้บนสุดมันเป็นส่วนที่สะดุดตาที่สุดครับ และมีการทดลองแล้วคนจะตอบสนองดีที่สุดด้วยครับ

 

ถัดมาเป็นลิงค์ไปยังเนื้อหาหรือหน้าที่เราต้องการจะเน้นกับพวกเขา การเอามาไว้ตำแหน่งนี้จะช่วยให้คนเข้าชมเว็บได้เห็นสิ่งที่คุณอยากให้เห็นมากยิ่งขึ้น และแน่นอน มันก็เพิ่มโอกาสให้คุณได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากลับมาด้วย

 

ส่วนตัวสุดท้าย บทความยอดนิยม เป็นสิ่งที่เยี่ยมมากๆในการนำเสนอ เพราะมันเป็นส่วนที่ “ทำเงิน” ได้ดีเลยหล่ะครับ ฮ่าๆ ก็เพราะว่ามันต่างก็ได้รับการคลิกไปอ่านเยอะมาก เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ “คนนิยม” นั่นก็หมายความว่าคนอ่านชอบบทความนี้นั่นเอง และส่วนใหญ่แล้วคนเข้ามาใหม่ต่างก็อยากอ่านทั้งนั้นครับว่าบทความยอดนิยมเนี่ยเค้ามีดีอะไรคนถึงคลิกอ่านกันนักกันหนา

[thetext]#2 มีหน้า Landing Page ที่เยี่ยมยอด![/thetext]

อั้ยย่ะ!! ศัพท์ประหลาดมาอีกแล้ววุ้ย ฮ่าๆ Landing Page นั่นเอาคร่าวๆก็เหมือนกับหน้าโบรชัวร์ หรือใบปลิวครับ ที่เป็นหน้าเพียงหนึ่งหน้าที่ทำไงก็ได้ให้คนอ่านกลายเป็นลูกค้าของเราให้ได้ เป็นหน้าที่สามารถจบเนื้อหาได้เพียงหน้าเดียว พูดง่ายๆก็คือ ปิดการขายให้ได้ภายในหน้านั้นซะ!! เก็ทบ่?

 

คุณรู้หรือเปล่าครับว่าหน้า Landing Page เป็นหน้าที่สามารถทำ Conversion Rate ได้สูงมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับหน้าทั่วไป

 

คำถามคือแล้วเราทำหน้า Lading Page อย่างไรในเว็บไม่ให้ดูน่ารังเกียจ?

 

คุณต้องมีหน้าเว็บที่แตกต่างกันสามรูปแบบ แบบนี้ครับ

1. หน้าเว็บดีไซน์พื้นๆทั่วไป

2. เท็มเพลตใหม่ที่ไม่มีสิ่งรบกวนอื่นใดนอกจากลิงค์กลับไปยังหน้า Home

3. เท็มเพลตใหม่ที่ไม่มีสิ่งรบกวนอื่นๆเลย (ไม่มีเมนู ไม่มีปุ่มกลับไปหน้า Home ไม่มี Sidebar)

สำหรับหน้าเว็บไซต์พื้นๆมันไม่ได้ผล เลยขอข้ามไปนะครับ

 

เท็มเพลตที่เป๊ะที่สุดจะขอเรียกว่า Resource Page นะครับ

เท็มเพลตที่สองครับ ตัวที่มีแค่ลิงค์ไปยังหน้า HOME เป็นตัวที่เหมาะที่สุด!

มาดูกันว่าแล้วทำไมจึงควรใช้เท็มเพลตแบบนี้

 

นั่นก็เพราะว่าหน้าเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณเป็นหนึ่งในหน้าที่เป็นหน้ายอดนิยมอยู่แล้ว เมื่อคนอ่านมันจบ เค้าก็อยากจะรู้ว่า เค้าจะทำอะไรต่อไปได้บ้าง และจำได้ไหมครับ ก่อนหน้านี้ ผมบอกว่าให้ใส่อะไรบ้างในส่วนของ Sidebar ใช่ครับ เค้าก็จะมองเห็นหน้าลิงค์ไปยังหน้าที่เราต้องการจะเน้นให้พวกเค้าเห็น (ซึ่งก็คือหน้า Resource Page นั่นเอง) พอเค้าเห็นใน sidebar เราปุ๊บ คลิกปั๊บ ทันใดนั้น…

 

ดีไซน์เว็บก็เปลี่ยนทันที บู้ม!!

 

ครับฟังดูมันอาจจะดูประหลาด ที่อยู่ๆดีไซน์ก็เปลี่ยน แต่จำได้ไหมครับว่า คนที่คลิกเข้ามาในลิงค์นี้เค้าคลิกมาหลังจากที่ได้อ่านบทความของคุณแล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าไม่ต้องกังวลใจไปครับผม

 

และหน้านี้แหล่ะครับ ที่คนส่วนใหญ่มักจะตอบสนองในสิ่งที่เราต้องการเยอะเลยทีเดียว

 

เท็มเพลตสุดท้ายนั้นเหมาะสำหรับหน้าที่ต้องการขายของหรือสั่งซื้อสินค้าครับ

ตัวสุดท้ายก็คือตัวที่ไม่มีสิ่งรบกวนอื่นใดเลยนอกจากสิ่งที่ต้องการเน้น เน้น เน้น แล้วก็เน้น  หน้านี้เหมาะมากๆสำหรับหน้าที่คุณต้องการจะขายของ หรือหน้าที่คุณต้องการให้คน “กรอกข้อมูลลงในแบบฟอร์ม”

เหตุผลที่หน้ากรอกแบบฟอร์มนี้ไม่ควรจะมีสิ่งรบกวนอื่นใด ก็เพราะว่าการกรอกข้อมูลมันไม่ใช่เรื่องสนุกนักหรอกใช่ไหมครับ ฮ่าๆ คนส่วนใหญ่จะพยายามมองหาอย่างอื่น เช่น sidebar  หรือ menu bar นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เค้าเสียสมาธิไปจากแบบฟอร์ม ดังนั้นเท็มเพลตแบบนี้แหล่ะใช่เลยสำหรับเคสนี้

 

และนี่ก็เป็นเทคนิคที่ผมได้จากประสบการณ์ตรงและจากการอ่านศึกษาค้นคว้านะครับ บทความนี้ยาวหน่อย แต่ผมก็คิดว่ามันน่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆบ้าง หากมีข้อสงสัยหรือข้อแนะนำเพิ่มเติมก็สามารถจะแสดงความคิดเห็นได้ตลอดเวลานะครับ ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ ฮ่าๆ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลวส่วนบบุคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ

บันทึก